[x] ปิดหน้าต่างนี้
ยินดีต้อนรับคุณ บุคคลทั่วไป   
English Chinese (Simplified) Chinese (Traditional) French German Italian Japanese Korean Portuguese Russian Spanish Vietnamese Thai     
ค้นหา   
เมนูหลัก
ระบบสมาชิก
Username :
Password :
[ สมัครสมาชิก ] | [ ลืมรหัสผ่าน ]
สมาชิกทั้งหมด 19 คน
สมาชิกที่กำลังออนไลน์ 0 คน
link banner
ฝากข้อความ
ชื่อ :
ข้อความ (ตัวแสดงอารมณ์)
poll

   คุณคิดว่าเวปนี้เป็นอย่างไร


  1. ดีมาก
  2. ดี
  3. ปานกลาง
  4. น้อย
  5. น้อยที่สุด

  

   เว็บบอร์ด >> ห้องนั่งเล่น >>
ในตอนนี้ต้องบอกเลยว่ามันมีโอกาสสูงมากๆ ที่ เออร์ลิง ฮาลันด์ จะได้รางวัลดาวซัลโวสูงสุด  VIEW : 22    
โดย A

UID : ไม่มีข้อมูล
โพสแล้ว : 28
ตอบแล้ว :
เพศ :
ระดับ : 4
Exp : 29%
เข้าระบบ :
ออฟไลน์ :
IP : 194.5.82.xxx

 
เมื่อ : จันทร์ ที่ 15 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2566 เวลา 08:31:40   

 

ในตอนนี้ต้องบอกเลยว่ามันมีโอกาสสูงมากๆ ที่ เออร์ลิง ฮาลันด์ กองหน้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะได้รางวัลดาวซัลโวสูงสุดของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำฤดูกาล 2022-23 เพราะเขากดไปแล้ว 33 ลูก ขณะที่อันดับ 2 อย่าง แฮร์รี่ เคน ตามหลังเขาอยู่ถึง 9 ประตู ในขณะที่เกมให้เล่นก็เหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ
แน่นอนว่าถ้า ฮาลันด์ สามารถซิวรางวัลรองเท้าทองคำไปครองได้แล้วนั้นมันก็จะถือเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งของเจ้าตัว เพราะที่จริงเขาเพิ่งย้ายมาเล่นใน พรีเมียร์ลีก เป็นฤดูกาลแรกเท่านั้น แถมยังจะถือเป็นการตอกย้ำได้เป็นอย่างดีว่าเขาคือหนึ่งในกองหน้าที่เก่งที่สุดของยุคนี้

อย่างไรก็ตาม นอกจากรางวัลส่วนตัวแล้วนั้น ฮาลันด์ ยังมีโอกาสประสบความสำเร็จแบบส่วนรวมด้วยเพราะ แมนฯ ซิตี้ กำลังมีโอกาสดีที่จะได้แชมป์ลีกไปครอง ซึ่งในประวัติศาสตร์ของ พรีเมียร์ลีก มันมีเพียง 9 ครั้งเท่านั้นที่นักเตะซึ่งเป็นดาวซัลโวสูงสุดในแต่ละฤดูกาลสามารถได้แชมป์ลีกไปเชยมด้วย ลองไปย้อนดูกันเลยว่ามีใครบ้าง

- อลัน เชียเรอร์ ฤดูกาล 1994-95

เชียเรอร์ ระเบิดฟอร์มโหดได้ตั้งแต่ซีซั่น 1993-94 ด้วยการกดไป 31 ประตูให้กับ แบล็คเบิร์น แต่ฤดูกาลนั้นเขาก็ต้องชอกช้ำจากการเป็น "ดับเบิ้ล พระรอง" เพราะในลีก "กุหลาบไฟ" จบซีซั่นด้วยการเป็นที่ 2 เพราะแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 8 แต้ม ส่วนในชาร์ตดาวซัลโวเขาก็ยิงได้น้อยกว่า แอนดี้ โคล หัวหก นิวคาสเซิ่ล ในตอนนั้น 3 ลูก

ถึงกระนั้น เชียเรอร์ ก็ชดเชยความผิดหวังที่ว่าได้อย่างรวดเร็วในซีซั่นต่อมา เพราะเขายิงในลีกได้ถึง 34 ประตู ทิ้งห่าง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ไปถึง 9 ลูก ส่วนในลีก "กุหลาบไฟ" ก็ได้สัมผัสกับแชมป์ลีกแบบสุดสนุกด้วยการเฉือน แมนฯ ยูไนเต็ด ไปเพียง 1 แต้ม

- ดไวท์ ยอร์ค ฤดูกาล 1998-99

ในช่วงซัมเมอร์ ปี 1998 แมนฯ ยูไนเต็ด ยอมจ่ายเงิน 12.6 ล้านปอนด์เพื่อดึง ยอร์ค มาจาก แอสตัน วิลล่า ด้วยความคาดหวังว่าเขาจะเพิ่มความแข็งแกร่งในเกมรุกให้กับทีมได้ ซึ่งเจ้าตัวก็ทำได้ตามนั้นจริงๆ เพราะในลีกเขายิงได้มากที่สุดด้วยจำนวน 18 ลูก เท่ากับ จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ กับ ไมเคิ่ล โอเว่น จนทำให้ทีมได้แชมป์ลีก รวมถึงแชมป์ เอฟเอ คัพ กับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่นที่ว่าด้วย

- เธียร์รี่ อองรี ฤดูกาล 2001-02

หลังจาก 2 ซีซั่นก่อนหน้านั้น อองรี ยิงในเกมลีกให้กับ อาร์เซน่อล ไปได้ 17 ลูกเท่ากัน อดีตดาวเตะชาวฝรั่งเศสก็ยกระดับของตัวเองได้ในฤดูกาล 2001-02 ด้วยการทำประตูในลีกถถึง 24 ลูกจาก 33 เกม ส่งผลให้ "ไอ้ปืนใหญ่" เข้าป้ายเป็นแชมป์ด้วยการมีแต้มมากกว่า ลิเวอร์พูล 7 คะแนน

- รุด ฟาน นิสเตลรอย ฤดูกาล 2002-03

แม้ว่า ฟาน นิสเตลรอย จะทำผลงานได้โดดเด่นตั้งแต่ฤดูกาลแรกกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยการทำประตูในลีกไป 23 ลูกในซีซั่น 2001-02 แต่ฤดูกาลนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ได้เพียงที่ 3 ในลีกเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในซีซั่นต่อมาเขาก็ยังทำผลงานได้น่าทึ่งด้วยการทำประตูในลีกไป 25 ลูก เฉือนชนะ อองรี ไปเพียงลูกเดียว และมันก็มีส่วนช่วยให้ทีมได้แชมป์ลีกไปนอนกอด

- เธียร์รี่ อองรี ฤดูกาล 2003-04

ภายหลังเป็นพระรองทั้งในเรื่องการลุ้นแชมป์ลีกและดาวซัลโวสูงสุดในซีซั่น 2002-03 อองรี ก็ลงเล่นด้วยความฮึกเหิมสุดขีดจนถึงขั้นยิงในลีกได้ 30 ลูก ทิ้งห่าง เชียเรอร์ ไปถึง 8 ประตู พร้อมกับพา อาร์เซน่อล ได้แชมป์ลีกไปครองในแบบที่ไม่แพ้ใครเลยตลอดทั้งซีซั่น

- คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ฤดูกาล 2007-08

หลังจากกดไป 17 ลูกในฤดูกาล 2006-07 โรนัลโด้ ก็ยกระดับฟอร์มของตัวเองได้อย่างน่าทึ่งด้วยการทำไปถึง 31 ประตูในซีซั่นต่อมาจนทำให้เขาได้รางวัลรองเท้าทองคำด้วยการยิงได้มากกว่า เฟร์นานโด ตอร์เรส กับ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ 7 ลูกด้วยกัน ส่วนในลีก แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ได้แชมป์เป็นซีซั่นที่ 2 ติดต่อกัน

- คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ฤดูกาล 2007-08

หลังจากกดไป 17 ลูกในฤดูกาล 2006-07 โรนัลโด้ ก็ยกระดับฟอร์มของตัวเองได้อย่างน่าทึ่งด้วยการทำไปถึง 31 ประตูในซีซั่นต่อมาจนทำให้เขาได้รางวัลรองเท้าทองคำด้วยการยิงได้มากกว่า เฟร์นานโด ตอร์เรส กับ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ 7 ลูกด้วยกัน ส่วนในลีก แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ได้แชมป์เป็นซีซั่นที่ 2 ติดต่อกัน

- ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ฤดูกาล 2009-10

29 ลูก คือจำนวนประตูที่ ดร็อกบา ยิงให้กับ เชลซี ในลีกตลอดทั้งซีซั่นนั้น โดยเป็นการชนะ เวย์น รูนี่ย์ 3 ประตู ซึ่งนั่นทำให้มันถือเป็นครั้งที่ 2 ที่เขาได้รางวัลดาวซัลโวสูงสุดของ พรีเมียร์ลีก ต่อจากเมื่อตอนฤดูกาล 2006-07 แต่ที่มันต่างจากครั้งนั้นคือหนนี้เขาได้สัมผัสกับแชมป์ลีกด้วย

- ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ฤดูกาล 2010-11

ในซีซั่นนั้น เบอร์บาตอฟ เป็นดาวซัลโวสูงสุดของ พรีเมียร์ลีก ร่วมกับ คาร์ลอส เตเวซ ดาวยิง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่เป็นทางอดีตแข้งชาวบัลแกเรียที่แฮปปี้กว่า เพราะว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ของเขาได้แชมป์ลีกไปครองด้วยหลังมีคะแนนมากกว่า เชลซี ที่เป็นรองแชมป์ 9 แต้ม

- โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ฤดูกาล 2012-13

นั่นถือเป็นครั้งล่าสุดที่นักเตะซึ่งได้รางวัลดาวซัลโวสูงสุดของ พรีเมียร์ลีก นั้น อยู่กับทีมที่ได้แชมป์ลีก โดยแม้ว่ามันจะเป็นฤดูกาลแรกของ ฟาน เพอร์ซี่ กับ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่เจ้าตัวก็เล่นได้โดดเด่นจนกดไป 26 ลูก แถมนั่นถือเป็นการได้รางวัลรองเท้าทองคำใน พรีเมียร์ลีก เป็นปีที่ 2 ติดต่อกันของเขาด้วย หลังจากในซีซั่น 2011-12 เขาได้รางวัลนั้นจากการยิงให้ อาร์เซน่อล 30 ประตู

 

สนับสนุนโดยเว็บไซต์ Betufa